ถกนิทาน ตำนานท้องถิ่น เรื่องนี้ (ไม่เคย) สอนให้รู้ว่า…

ถกนิทาน ตำนานท้องถิ่น เมื่อลูกของคุณอยู่ในวัยเริ่มอ่านนิทาน ฉันมักจะใช้เวลาว่างเพลิดเพลินกับการเดินเล่นรอบๆ ห้องสมุด ร้านหนังสือบางแห่ง จนได้หนังสือนำกลับบ้านเป็นประจำ แต่พอขลุกอยู่ในหนังสือเด็กไปสักพัก จู่ๆ ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า “เอ๊ะ มีกับดักที่แม่อย่างเราต้องระวังด้วย”

บางเรื่องมีความรุนแรง บางเรื่องก็มีอคติ เรื่องบางเรื่องทำให้เกิดความรู้สึกถูกเลือกปฏิบัติ เป็นต้น จึงต้องขอเซ็นเซอร์หรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาอย่างแนบเนียน เช่น แกล้งข้ามประโยคที่ราชินีสั่งให้ทหารจับสโนว์ไวท์ไปฆ่าเพราะอิจฉา ความงามของเธอ ปรับบทสนทนาในเรื่อง Ugly Duckling ให้มีพลังมากขึ้น หรือหากลยุทธในการเล่าเรื่องผีแบบสนุกสนานและบันเทิงใจ

ฉันเคยคิดแบบเดียวกัน ฉันต้องการหนังสือที่มีเรื่องราวคล้ายกับภาพยนตร์ที่สร้างจากเทพนิยายมาเลฟิเซนต์ เผยเรื่องราวเบื้องหลังตัวละครที่ทุกคนต่างตราหน้าว่าเป็นปีศาจ และนำเสนอที่มาของการกระทำ คงจะดีถ้าเรื่องราวกระตุ้นให้ผู้อ่านไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ หรือผู้ปกครอง ได้คิดหลายๆ ด้านไปพร้อมๆ กัน

แล้ววันหนึ่งฉันก็ไปเจอนิทานพื้นบ้านเก้าเรื่อง กล่องนิทานพื้นบ้าน 9 เรื่อง นิทานคุ้นเคยที่มีมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย มันถูกเลี้ยงดูมาเพื่อถามคำถามและหามุมใหม่ๆ มาบอก ซึ่งเชื่อกันว่าในที่สุดจะเปิดทางสู่อนาคตที่สดใสกว่าปัจจุบัน

 

ถกนิทาน ตำนานท้องถิ่น รื้อเรื่องเก่า เล่าเรื่องใหม่

 

ถกนิทาน ตำนานท้องถิ่น เมื่อถอดเชือกป่านที่มัดกล่องกระดาษแข็งออก เรื่องแรกที่ฉันสุ่มหยิบขึ้นมาคือเรื่องราวของแก้วหน้าบางที่มีปกสีชมพูหวาน แต่เนื้อหาได้อารมณ์มาก อ่านจบก็นึกถึงข่าววัยรุ่นหลายคนโดนรังแกจนหดหู่หรือตัดสินใจฆ่าตัวตายทันที สังคมปัจจุบันยังขาดความตระหนักรู้ว่าการล้อเลียนหรือเยาะเย้ยไม่ใช่เรื่องตลก แต่เป็นอาชญากรรมที่ทิ้งรอยแผลเป็นลึกไว้ในใจของเหยื่อ

เรื่องนี้ชี้ให้เห็นถึงสภาวะของธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความแตกต่างอย่างแท้จริง แต่บางคนยกระดับตนเองให้เป็น ‘มนุษย์ ‘ และผลักไสผู้อื่นให้กลายเป็น ‘ไม่ใช่มนุษย์’ หากพวกเขาเอาชนะอคติเกี่ยวกับร่างกายภายนอกของตนได้ ทุกคนจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยการเห็นคุณค่าภายใน ขอสปอยตอนจบอันเจ็บปวดของแก้วหน้าชามเวอร์ชั่นใหม่หน่อยค่ะ ในที่สุด ผู้กระทำความผิดก็ไม่สามารถหนีจากไฟแห่งอคติที่เผาตัวเองได้

 

นิทานสำหรับผู้ใหญ่?

 

นิทานสำหรับผู้ใหญ่? จากตัวอย่างเรื่องราวที่ได้เล่าสู่กันฟัง จะเห็นได้ว่านิทานบางเรื่องจากชุดนิทานพื้นบ้านสามารถนำไปใช้สื่อสารกับเด็กๆ ได้ ในขณะที่หนังสือบางเล่มอาจจะเหมาะที่จะล้อเลียนความคิดของผู้ใหญ่มากกว่า ส่วนเนื้อหาของเรื่องที่กำลังเล่าใหม่ มีความฝัน จินตนาการ อารมณ์ ความทรงจำ และร่างกาย ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทรัพย์สิน การดำรงชีวิต ฯลฯ ครอบคลุมระดับบุคคล จนไปถึงชุมชนและรัฐ ทุกอย่างเป็นความสัมพันธ์ที่แยกจากกันไม่ได้

“เรื่องราวบางเรื่องเต็มไปด้วยบรรทัดฐานที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่สมัยโบราณ… ทำไมเราไม่มีเรื่องราวประเภทอื่นที่ทำให้ผู้อ่านตั้งคำถามกับสภาพแวดล้อม พื้นที่ และตัวตนของตัวละครล่ะ? ทำไมเราต้องออมเพื่อความอยู่รอด? ความรักมีลักษณะอย่างไรที่ไม่ผูกมัดกับหนี้สิน? ทำไมเราต้องหน้าตาดีถึงจะได้รับการยอมรับ? เหตุใดจึงมีสิทธิเลือกภัยพิบัติ? ทำไมเราต้องแข่งขัน? แล้วเราจะจินตนาการถึงสังคมอื่นที่ทำให้เราจดจำ มึนงง และหวาดกลัวได้หรือไม่”

พลังของเรื่องราวเป็นเครื่องมือที่สามารถปลูกฝังความคิดและความเชื่อทั้งเชิงบวกและเชิงลบ ผู้ใหญ่จึงควรมีวิจารณญาณว่าตนจะเลือกเล่าเรื่องราวประเภทใดให้คนรุ่นต่อไป เขาจะเติบโตมาด้วยจิตใจและจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง

 

‘พาหนะ’ สู่สังคมที่เป็นธรรม

 

ถกนิทาน ตำนานท้องถิ่น เหตุใดหนังสือนิทานชุดนี้ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่รุนแรงจึงเกิดขึ้น คำตอบสามารถสืบย้อนกลับไปถึงผลงานของกลุ่ม Metabolic Modules ที่สร้างนิทานพื้นบ้านเก้าเรื่อง สมาชิกประกอบด้วยเยาวชนที่สนใจในด้านการศึกษา วรรณกรรม และสังคม ในปี 2565 พวกเขาจะมีโอกาสทำการวิจัยภาคสนามร่วมกับชุมชน และได้เห็นเรื่องราวที่ไม่โรแมนติกเหมือนหลายๆเรื่อง ปัญหาหลักคือความไม่เท่าเทียมกันที่แทรกซึมอยู่ทุกหนทุกแห่ง จุดยกระดับที่สำคัญคือการเรียนรู้หรือห้องเรียน คาดว่าพวกเขาจะสามารถหยิบยกประเด็นเรื่องการดำรงชีวิตและความเป็นธรรมได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

Metabolic Modules ทำงานร่วมกับครูและกลุ่มเครือข่ายภาครัฐ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาของระบบการศึกษาของไทยในปัจจุบัน เช่น กลุ่ม ‘ปอนเรียน’ พวกเขามองว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือของรัฐในการปลูกฝังค่านิยมเผด็จการตั้งแต่วัยเด็ก มองให้ไกลกว่าวิถีชีวิต เน้นการแข่งขันและสร้างสังคมที่ผู้คนไม่ขาดการติดต่อ

เครื่องมือที่พวกเขาเลือกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้คือภาษาและวรรณกรรม “โครงการนี้เป็นการดำเนินการทางวัฒนธรรมผ่านแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย ที่เรียกร้องให้มีสังคมที่ยุติธรรมและเสมอภาค ซึ่งไม่ได้จบลงด้วยเพียงสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการเลือกตั้ง แต่เป็นการเรียกร้องความเท่าเทียมกันจากระดับโครงสร้างเศรษฐกิจการเมือง จนร่างกายแข็งแรง ตั้งแต่การจัดสรรทรัพยากรไปจนถึงการตักเศษความเจ็บปวดมาจินตนาการถึงสังคมที่โอบล้อมผู้คน มาสร้างสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังกันเถอะ”

เพลิดเพลิน – ปาลิน อังศุสิงห์ หนึ่งในบรรณาธิการของ Nine Folk Tales เปรียบได้กับว่า อยากให้นิทานชุดนี้เป็น ‘พาหนะ’ ไปสู่สังคมที่ยุติธรรม ในกระบวนการทำงานร่วมกับนักเล่าเรื่องและศิลปิน 12 คน ไม่มีโครงเรื่องตายตัว แต่ละคนมีอิสระในการตีความต้นฉบับและขยายแนวคิดของตนได้อย่างอิสระ พร้อมทดลองออกแบบงานศิลปะใหม่ๆ ท้ายที่สุดแล้ว การทำหนังสือเล่มนี้ก็ราบรื่นและไปได้ไกลกว่าที่คาดไว้

ชุด 9 เรื่อง คงเข้าถึงผู้อ่านจำนวนมากได้ยาก ผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่สนใจการเปลี่ยนแปลงทางสังคม บางทีก็เป็นกลุ่มวิชาการของ FC ที่ช่วยกระจายข่าว ส่วนราคาพิเศษสำหรับห้องสมุด มีเพียงออเดอร์เดียวเข้ามา (นั่นคือออเดอร์จากผม)

ขั้นตอนต่อไปสำหรับ Nine Folk Tales คือการกระโดดลงจากชั้นหนังสือและทำงานร่วมกับผู้คน มีกิจกรรมที่จัดขึ้นร่วมกับศูนย์วิจัยรัฐสวัสดิการ สำหรับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องความไม่เท่าเทียมกัน และมีแผนจะร่วมกับร้านหนังสือในย่านนางเลิ้งด้วย ทำกิจกรรมกับกลุ่มเป้าหมายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในชุมชน รวมถึงการดูการนำหนังสือไปประยุกต์ใช้ในการสอนในห้องเรียน ทั้งหมดนี้ขอเชิญชวนให้ทุกคนกลับมาพิจารณาตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อมรอบตัวอีกครั้ง และร่วมมือกันค้นหาหนทางสร้างสังคมให้ดีขึ้น

 

บทความแนะนำ